วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555



สราวุธ เบญจกุล
       รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
     
       ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยซึ่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ทั้งนี้ศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 197 คือต้องเป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
     
       อย่างไรก็ดี การจะพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปโดยยุติธรรมได้นั้น ผู้พิพากษาต้องมีอิสระเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม และต้องไม่ถูกแทรกแซงการใช้อำนาจจากบุคคลหรือองค์กรใด ซึ่งหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษานั้นมีการรับรองไว้ทั้งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
     
       ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจกำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อให้มีการดุลและคานกัน ทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถมีอำนาจในการให้คุณให้โทษฝ่ายตุลาการได้ ในการแต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษผู้พิพากษาจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
     
       นอกจากนี้ผู้พิพากษาต้องมีความเป็นกลาง และสามารถใช้ดุลพินิจในการมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายและพยาน หลักฐานที่เกี่ยวข้อง จากการรับรองหลักความเป็นอิสระของตุลาการ เพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างเต็มที่นี้เอง จึงเป็นหลักการสากลที่ว่าผู้พิพากษาได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ (Judicial Immunity)
     
       หลักความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการเป็นแนวคิดอันมีที่มาจากประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย Common Law โดยมีรากฐานมาจากแนวคิดของประเทศอังกฤษ ที่ว่า “the King can do no wrong” ซึ่งมีหลักการในการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มครองแก่พระมหากษัตริย์และ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เช่นตุลาการ เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางการเมืองและตามกฎหมายใด ๆ ไม่ว่าจะในฐานะส่วนพระองค์หรือ ในฐานะประมุขของรัฐและไม่อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้
     
       จากแนวคิดดังกล่าวนี้เอง ต่อมาจึงได้มีการพัฒนามาเป็นหลักความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ เพราะผู้พิพากษาถือเป็นบุคคลที่ใช้อำนาจตุลาการภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มกันทางกฎหมายแก่ผู้พิพากษาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาพิพากษาคดี จากการถูกดำเนินคดีในการใช้อำนาจทางตุลาการซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถพิจารณาคดีได้อย่างเป็นธรรม โดยไม่จำต้องกังวลถึงภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นนอกเหนือจากการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของตน ในขณะเดียวกันก็เพื่อปกป้องผู้พิพากษาจากการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายของผู้ที่อาจเสียประโยชน์จากคำพิพากษา
     
       สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา ศาลฎีกาในสหรัฐอเมริกาในคดี Randall v Brigham, 74 US (7 Wall.) 523 (1868) ได้เคยมีคำพิพากษาในกรณีผู้พิพากษามีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตว่าความของทนายความ ทนายความผู้นั้นจึงฟ้องผู้พิพากษา ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าทนายความไม่สามารถฟ้องผู้พิพากษาได้ เพราะผู้พิพากษาไม่ต้องรับผิดหากเป็นการใช้อำนาจทางตุลาการ เว้นแต่ว่าการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
     
       แม้ผู้พิพากษาจะได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การใช้อำนาจดังกล่าวจะไม่มีขอบเขตจำกัด หรือไม่สามารถตรวจสอบความชอบธรรมได้ ผู้พิพากษาจึงไม่อาจใช้อำนาจได้ตามความพอใจของตน การตรวจสอบการใช้อำนาจทางตุลาการของผู้พิพากษาสามารถกระทำได้หลายวิธี เช่น การอุทธรณ์ ฎีกา อันเป็นวิธีการตรวจสอบดุลพินิจในการรับฟ้องพยานหลักฐานและการทำคำพิพากษาโดยให้คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจคำพิพากษา สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาต่อศาลสูงซึ่งได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ผู้มีหน้าที่กลั่นกรองคำพิพากษาของศาลล่างอีกชั้นหนึ่ง อันเป็นสิทธิของคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความเป็นต้น
     
       นอกจากหลักการตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการตามลำดับชั้นศาลแล้ว ผู้พิพากษาอาจถูกตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการได้หากผู้พิพากษาผู้นั้นได้กระทำความผิดวินัย แต่องค์กรที่ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องทางวินัยของผู้พิพากษานั้นมีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนในมาตรา 220 ว่าให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากศาลฎีกา 6 คน ศาลอุทธรณ์ 4 คน ศาลชั้นต้น 2 คน และกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒซึ่งวุฒิสภาเลือกจากบุคคลที่ไม่เป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม 2 คน
     
       ก.ต. จึงมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบผู้พิพากษาทางวินัย โดยการให้ความเห็นชอบในการเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม และการให้ความเห็นชอบดังกล่าวของ ก.ต. ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลดังกล่าว
     
       การได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการนั้นมีขอบเขตจำกัด ผู้พิพากษา จะได้รับความคุ้มครองก็ต่อเมื่อได้กระทำภายในกรอบอำนาจหน้าที่ทางตุลาการของตนเท่านั้น เว้นแต่ว่าการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากเป็นการกระทำนอกกรอบอำนาจหน้าที่ หรือเป็นการกระทำความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เช่นการเรียกรับสินบน ผู้พิพากษาย่อมต้องรับผิดในการกระทำของตนโดยอาจถูกดำเนิน คดีอาญาได้
     
       ดังนั้น ความอิสระและเป็นกลางของศาลยุติธรรม เป็นหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย ที่จะนำมาซึ่งความปลอดภัยและมั่นคงในสังคม ทั้งยังเป็นการเคารพหลักสิทธิมนุษยชนที่ให้สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมอีกด้วย


ที่มา :  manager.co.th









ล่วงละเมิดทางเพศ (ข่มขืน - อนาจาร)


 ล่วงละเมิดทางเพศ ( ข่มขืน - อนาจาร ) เกิดจากความต้องการทางเพศของฝ่ายตรงข้าม 
( โดยเฉพาะผู้ชาย )   ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการกระทำที่ผู้ใหญ่ชอบร่วมเพศกับเด็กอายุระหว่าง 
๑๐ - ๑๖ ปี ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย


 ล่วงละเมิดทางเพศ ( ข่มขืน - อนาจาร ) มีทั้งข่มขืนผิดกฎหมาย  ข่มขืนถูกกฎหมาย  และกฎหมาย
ไม่สามารถเอาผิด ติดคุกได้  เราจะบอกให้รู้ทั้ง ๓ แบบ จะได้เอาไว้ป้องกันตัว  หรือผู้ที่ต้องการจะร่วม
เพศกับเด็กๆ จะได้เอาไปใช้ให้ถูกวิธี คุกจะได้ไม่ต้องมาเยือนถึงที่บ้าน


แบบที่ ๑ 
  ผู้หญิงเป็นเพศที่น่าสงสารที่สุด บางคนโดยถูกข่มขืนแล้ว ยังต้องถูกคนที่ข่มขืนอ้าวเป็นสามี (ผัว) 
เพราะคำว่า" ได้เสียกันแล้ว " ทั้งๆที่ผู้หญิงไม่ได้รักไม่ได้ชอบมาก่อน .. แต่ที่ต้องยอมรับตามที่มันอ้าว
เพราะเหตุที่ว่า
 ๑ . กลัวอับอายขายหน้า 
 ๒ . กลัวท้องแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร 
 ๓ . กลัวถูกทำร้าย กลัวถูกฆ่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆ ที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องทนทุกข์ทรมารกับที่ต้องถูกข่มขืน ถูกมัน
ทำตามใจที่มันต้องการทุกอย่าง ทั้งๆที่ตัวเองไม่เต็มใจที่จะทำให้มัน


 บางคนก็ยอมอยู่กับมัน อาจเพราะคิดว่า " ผู้หญิงถ้าเสียตัวให้ใครแล้วก็ต้องเป็นภริยาของเขา 
" บอกได้เลยว่าคิดผิด " ...ผู้หญิงคิดแบบนี้ต้องเมื่อ ๓๐ หรือ ๕๐ ปีที่แล้วเข้าคิดกัน เพราะกฎหมาย
ยังไม่ครอบคลุมถึงเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปยอมตามที่มันอ้างว่าเป็นสามี(ผัว) อีกต่อไปแล้ว


  ปัจจุบันนี้ การเรียนการสอนสมัยใหม่ ให้รู้เรื่องเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น  จนทำให้เด็กที่เรียน
คิดอยากจะรู้และลองของจริงๆ ว่าจะเสียวแค่ไหน   กฎหมายก็ไม่มีข้อห้ามที่เด็กๆ จะลองเล่นเสียว 
เพียงแต่กฎหมายพยายามคุ้มครอบไม่ให้การมีเพศสัมพันธ์ที่เกินขอบเขต ( ท้องในวัยเรียน ) 
เรื่องเสียวหรือเซ็กร์ ที่ทำให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการตั้งท้องก็มีอยู่มาก บางวิธีดีกว่าร่วมเพศเสียอีกถ้ารู้วิธี 
" ชิวหาพาเพลิน " ดีกว่านกเขา ๑๐๐ เท่า


.  คนที่ถูกข่มขืน หรือถูกร่วมเพศแล้วอ้างว่าเป็น " ผัว " ควรหาทางป้องกันตัวเอาไว้บ้าง  ไม่อย่าง
นั้นสักวันถ้าไม่โดนมันแตะ   ก็ตกเป็นภริยาน้อย  แถมมันขู่จะเปิดโปงให้คนอื่นรู้ว่าเสียตัว ให้อับอาย


@@@ ก่อนอื่นต้องรู้ว่าพวกชอบข่มขืน หรือชอบทำอนาจารเด็กก่อน @@@


  พฤติกรรมชอบมนุษย์ทุกคนก็มีความต้องการทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย   ส่วนมาก
แล้วผู้ชายจะมีความต้องการทางเพศอยู่บ่อยครั้ง  เวลาที่มีอารมย์ทางเพศก็จะร่วมเพศกับคนรัก 
หรือภริยา หรืออาจใช้มือทำเองหรืออาจจะไปเที่ยวอาบนวด ซึ่งสามารถที่จะทำได้ไม่ผิดกฏหมาย
บ้านเมือง (แต่อาจผิดกฏหมายภายในบ้าน) 


  ปัจจุบัน ความทันสมัยต่างเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะหนังที่เกี่ยวกับการร่วมเพศ
และจะเป็นหนังแบบร่วมเพศแบบเด็กสาวๆ รุ่นๆ อายุ ๑๓- ๒๐ปี .. ผู้ชายหรือผู้หญิงที่ดูก็จะทำให้เกิด
อารมย์ที่จะร่วมเพศแบบในหนังบ้าง ก็โดยพยายามที่จะหาทางสำเร็จความใคร่ให้ได้


@ เคยถามผู้ที่ชอบร่วมเพศกับเด็กหรือข่มขืนเด็กว่าทำไมถึงชอบ ได้คำตอบว่า @


 ๑ . เด็กยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการร่วมเพศ จึงหลอกได้ง่าย 
 ๒ . เด็กมักจะกลัวผู้ใหญ่ จึงยอมให้ทำเพื่ออยากรู้ หรืออยากลองดู หรือเพราะความกลัว 
 ๓ . เด็กมีแต่ความเต่งตึง จับนมแล้วแข็งเป็นไต ดูดนมเด็กหรือเลียจิ๋มแล้วมีความสุข (ไม่ยาน
       เหมือนเมียตัวเอง) 
 ๔ . ให้เด็กอมนกเขาเด็กอมให้ และสามารถสำเร็จความใคร่ในปากเด็กโดยไม่ต้องเอาออกจากปาก 
 ๕ . เวลาร่วมเพศครั้งแรก เด็กจะร้องมากจะทำให้มีความสุขที่เห็นเด็กร้อง 
 ๖ . เวลาร่วมเพศกับเด็ก สามารถเล่นได้หลายท่าเท่าที่ต้องการ และร่วมเพศได้หลายครั้ง 
 ๗ . ที่สำคัญเด็กมักจะไม่พูดถ้าข่มขู่เอาไว้และให้เงินเด็กวันหน้ายังจะได้ร่วมเพศได้อีก  
       และพอหลังจากครั้งแรก......เมื่อเด็กไม่เจ็บแล้วเด็กก็จะยอม ให้ร่วมเพศด้วยโดยไม่ขัดขืน 
 ๘ . ถ้าเป็นเด็กเล็กมากๆ เมื่อร่วมเพศตามต้องการแล้ว หรือเด็กขัดขืนก็จะทุบตีก็จะทำให้เกิด
      อารมย์ร่วมเพศมากขึ้น 
 ๙ . ถ้าเด็กไม่ยอมก็อาจจะทำแบบรุนแรง 
 ๑๐ เมื่อเสร็จแล้วครั้งแรกถ้าขู่เด็กแล้วไม่กลัว หรือคิดว่าตัวเองจะมีความผิดก็จะฆ่าเสียเลย


   เรื่องคำว่า " อนาจาร " ในภาษากฏหมายหมายความว่า
 ๑ . เอาขอลับของชายหรือหญิง ไปถูไถทุกส่วนของร่ายกาย 
 ๒ . ให้อมนกเขา หรือใช้ลิ้นที่จิ๋ม หรือใช้มือช่วยทำให้
 ๓ . ร่วมเพศทางทวารหนัก (ก้น)


  เมื่อรู้ว่าพวกนี้มันชอบทำจะร่วมเพศแบบไหนแล้วก็มารู้ต้องไปว่าจะป้องกันได้อย่างไร เพื่อไม่ให้
โดนแบบตามตัวอย่าง   โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัดที่อายุ ๘ ปีถึง ๑๕ ปี มักจะถูกล่วงละเมิดทางเพศ
จาก ญาติพี่น้อง  เพื่อนๆ  คร  เจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเพราะไม่รู้เรื่องหรือไม่ทันข่าวสาร และไม่ได้มี
การสอน เรื่องนี้ในโรงเรียน


ที่นี้เด็กๆ ควรระวังและป้องกัน
หรือถ้าอยู่ในสถานะการณ์ ที่ไม่อาจหนี้ได้จะทำอย่างไร


๑ . อย่าอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในบ้าน ห้องเรียน บ้านเพื่อน ในที่ๆ ลับหูลับตาคน ไม่ว่าจะเป็นใคร
      ทั้งสิ้น 
๒ . ถ้าเพื่อนหรือแฟนชวนไปเที่ยวที่เปลี่ยวๆ หรือไปแล้วเห็นมีเพื่อนผู้ชายหลายคน และถ้าพวกเขา
      กินเหล้าด้วยแล้ว ให้หาทางหรือใช้วิธีหลอกล่อให้ออกมาจากที่นั่น 
๓ . อย่าเดินคนเดียวในทางที่เปลี่ยวไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน 
๔ . ถ้าครูผู้ชายเรียกให้ไปพบสองต่อสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม อย่าไปเด็ดขาด หรือครูผู้ชาย
       บอกให้ช่วยถือของไปให้ที่ห้องพักหรือบ้านพัก..อย่าทำเด็ดขาด ต้องมีเพื่อนไปกับเราด้วยอย่าง
       น้อย อีก ๒ - ๓ คน 
๕ . อย่าไปกู้เงินรายวัน หรือของผ่อนอื่นๆ เด็ดขาด เพราะพวกนี้ถ้าไม่ได้เงินก็จะดักรอที่บ้านหรือ
      ก่อนถึงโรงเรียนเพื่อข่มขู่จะเอาเงิน ถ้าไม่ได้ก็จะพาไปร่วมเพศด้วย 
๖ . ถ้ามีใครอ้างตัวว่าเป็นตำรวจ หรือสารวัตรนักเรียน บอกว่า " หนีเรียน หรือ ทำผิดกฏหมาย 
    " ไม่ว่าหนูจะทำผิดจริงๆ หรือไม่ได้ทำก็ตาม ... อย่าไปกับพวกเขาเด็ดขาด 
๗ . ใครให้เงินหรือให้ของที่อยากได้ หรือบอกว่าขอความช่วยเหลือด่วนๆ อย่าช่วยเด็ดขาด


  ถ้าอยู่ในสถานะการณ์ที่รู้ว่าไม่อาจจะหนีได้ต้องโดนร่วมเพศแน่ๆ มาดูกันว่าถ้าถูกพวกนี้เข้ามายุ่ง
เกี่ยวกับตัวเรา จะหาทางแก้ไขทางกฎหมายได้อย่างไร


 ๑ . วิ่งให้เร็วที่สุด และร้องให้คนช่วย
 ๒ . ถ้าถูกเขาจับได้พยายามป้องกันตัวเท่าที่จะทำใด้ เพื่อไม่ให้มันบ้ามากขึ้น ซึ่งมันอาจจะทำร้ายถึง
       ตายได้
 ๓ . เมื่อมันจับหนูแก้ผ้าได้แล้วก็นอนเฉยๆ ให้มันทำตามใจชอบของมัน 
 ๔ . ถ้ามันจูบโดยเอาลิ้นเข้ามาในปากเรา .. ให้เราก็กัดให้สุดแรงเกิดจบลิ้นของมันขาดติดปากเรา
       และออกวิ่งหนีทันที ( ไม่ต้องห่วงเสื้อผ้า แม้ตามตัวไม่มีเสื้อผ้า )
 ๕ . ถ้ามันให้อมนกเขาของมัน ก็อมให้มันตามที่มันต้องการ แต่ในขณะที่มันเพลินๆอยู่ ให้เอามือมา
       ลูบบริเวณไข่ของมันใต้นกเขา ตั้งสติให้ดีๆ พอมันไม่ระวังตัว ก็บีบไข่ของมันให้เต็มแรงเกิด 
       และกัดนกเขาของมันให้ขาด    ถ้าทำได้แล้วออกวิ่งหนีทันทีไม่ต้องห่วงเสื้อผ้า
 ๖ . ถ้ามันไม่ให้อมหรือจูบปากเรา  มันต้องการที่จะเอาจิ๋มก็ตามใจมัน เมื่อมันเอาเสร็จแล้ว ก็ยิ้มให้
      กับมันและถ้ามันจะเอาอีกก็ตามใจมัน แล้วถามมันว่า " (พี่ขา) หรือ (น้าขา) หนูจะท้องไหนค่ะ 
      ถ้าหนูท้องหนูต้องอายเพื่อนๆ พ่อแม่หนูรู้หนูต้องตายแน่ๆ (พี่ขา) หรือ (น้าขา) ต้องช่วยหนูด้วยนะ
      นะค่ะ "  พยานใช้คำพูดนี้บ่อยๆ   เดี๋ยวมันก็จะบอกว่าไม่ท้องหลอกป้องกันได้ หรือมันอาจบอกว่า
      ซื้อคุมกินก็ไม่ท้องแล้ว   ซึ่งขณะนี้มันจะคิดว่า หนูคงกลัวท้องมากกว่า แต่ไม่กลัวที่โดนร่วมเพศ 
      ซึ่งมันอาจจะร่วมเพศกับหนูหลายครั้ง หนูพยายามยิ้มเอาไว้เวลาที่มันร่วมเพศ (แต่ถ้ามันจูบและ
      ให้อมก็ทำตามข้อ ๔ หรือข้อ ๕ จะดีมาก ) ที่แนะนำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มันฆ่าหลังจากร่วม
      เพศเสร็จ
 ๗ . ถ้ามันมีกันหลายคน ก็ใช้วิธีตามข้อ ๖   อย่าใช้ข้อ ๔ และข้อ ๕ จะไม่ได้ผล
 ๘ . ที่สำคัญที่สุดจงตั้งสติให้ได้ พยานที่จะต้องจำใบหน้า เสื้อผ้า หรือรอยแผลเป็นที่ตัวมัน หรืออื่นๆ
      ที่พอจะบอกลักษณะของมันได้บ้างจะดีที่สุด หลังจากที่มันข่มขืนเสร็จหรือหนีได้ก็รอดตายแล้ว 
      ให้รีบกลับบ้านไปเล่าให้พ่อแม่ฟังเท่าที่จำได้


  หลังจากรอดมาแล้วควรทำอย่างไร


 ๑ . บอกผู้ใหญ่ให้รับรู้  ( ผู้ใหญ่ที่รับฟังก็ควรตั้งสติให้ดีๆ อย่าใช้อารมย์ สอบถามรายละเอียด )
 ๒ . พยายามนึกถึงสถานที่ๆ   รูปร่างหน้า  จุดสังเกต   ชื่อ   และที่พอจะนึกได้
 ๓ . ไปหาตำรวจที่อยู่ในท้องที่ถูกข่มขืน   จดชื่อตำรวจร้อยเวรที่รับแจ้ง  และขอให้ไปตรวจสถานที่
       เกิดเหตุจะได้ตรวจเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุ เพื่อเอาผิดกับผู้ข่มขืน เช่น ร่องรอย  คราบอสุจิ
       เสื้อผ้า  อุปกรณ์   ที่ใช้    ถ้าจำหน้าได้และเป็นคนแถวนั้นก็ชี้ให้ตำรวจจับได้เลย
 ๔ . ถ้าผู้ถูกข่มขืนอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ในการสอบสวนของตำรวจร้อยเวรจะต้องปฏิบัติ ปวิอ ๑๓๓ ทวิ
       ดังนี้
   ก . จะต้องมีผู้รวมฟังการสอบสวนด้วยคือ . ผู้ปกครอง หรือผู้มีอำนาจปกครอง หรือบุคคลอื่นตามที่
        ผู้เสียหายร้องขอให้มีไม่ว่าจะเป็นทนายความ หรือญาติคนอื่นๆ
   ข . อัยการ นักจิตวิทยา หรือสังคมสงเคราะห์ ( ต้องมีตามกฏหมาย ) 
   ค . ตำรวจต้องส่งผู้เสียหายไปตรวจหาร่องรอยการข่มขืน เช่น คราบอสุจิ  บาดแผล
   ง . ในการสอบปากคำผู้เสียหายทุกครั้งต้องมีบุคคลตามข้อ ก ข ค ทุกครั้ง จะสอบสวนเองในห้อง
        ตัวต่อตัวผู้เสียหายไม่ได้   ถ้าเป็นไปได้ควรขอให้มีนายตำรวจที่เป็นตำรวจหญิงทำการสอบ
        จะดีที่สุด
   จ . หลังจากที่มีการสอบปากคำผู้เสียหายเสร็จ ถ้าร้องเวรเอาบันทึกการสอบปากคำให้ผู้เสียหาย
        ลงชื่อผู้ปกครองควรจะต้องอ่านดูให้ละเอียดว่า . ตำรวจลงข้อความครบถ้วนตามที่ผู้เสียหายบอก
        หรือไม่ก่อน   ถ้าเห็นว่ายังไม่ถูกต้อง ก็บอกให้ตำรวจผู้สอบลงให้ถูกต้อง .. ถ้าตำรวจไม่ทำก็อย่า
        ลงชื่อเด็ดขาด  และควรบอกผู้ที่ร่วมฟังให้รับรู้ทุกคน ถ้าผู้ที่เข้ารวมฟังยังไม่ทักท้วงให้ตำรวจ
        ลงข้อความ ตามที่เป็นจริง   ก็ควรไปร้องกับหัวหน้าสถานีตำรวจทันที 
 ๕ . ต่อมาถ้ามีญาติของผู้ต้องหามาพบ เพื่อขอเจรจาจ่ายค่าเสียหาย ..ควรป้องกันการถูกหลอกเพื่อ
       ให้มีผลเสียหายต่อรูปคดีควรปฏิบัติดังนี้ 
   ก . ให้มีผู้ที่รู้กฏหมาย หรือทนายความ ร่วมอยู่ด้วย
   ข . จดชื่อ นามสกุล ผู้มาเจรจาทุกคน ถ้าขอดูบัตรได้จะดีที่สุด
   ค . นายตำรวจเจ้าของคดีเรียกไปหา ให้พาบุคคลตามข้อ ก ไปด้วย   ถ้านายตำรวจเป็นผู้เจารจา
         แทนผู้ต้องหา หรือญาติผู้ต้องหา ในลักษณที่ให้ยอมความกันและให้ผู้เสียหายเสียเปรียบด้วย
         แสดงได้ว่าตำรวจผู้นั้นมีพฤติกรรมที่เข้าข้างผู้ต้องหา หรือรับอาสามาเจรจาแทนเพื่อช่วยผู้ต้อง
         ควรร้องขอให้เปลี่ยนตัวนายเจ้าของคดีทันที  เพื่อไม่ให้เสียหายทางคดี


่ ข้อสำคัญของทางแก้นี้ ต้องทำให้มีหลักฐาน พอที่จะเอาความผิดทางคดีได้ .. เพราะถ้ามันคิดว่าไม่มี
หลักฐานอะไรที่จะเอาความผิดได้ .. มันก็จะยิ่งได้ใจมากขึ้น อาจถึงขนาดทำร้ายเอาได้


ถ้ามีการเจรจาต่อรองเพื่อขอใช้เงินควรพิจารณาอย่างไร


 สิ่งที่ควรรู้ไว้ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือญาติของผู้ต้องจะมาต่อรองเพื่อไม่ให้ผู้เสียหายเอาเรื่อง ซึ่งอาจ
จะมีเล่ห์กลแฝงอยู่    เพื่อให้เสียเงินน้อยที่สุด และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางคดี


 ๑ . ผู้เสียหายสามารถที่จะเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย โดยฟ้องในคดีแพ่ง (ละเมิด ) 
 ๒ . ถ้ามีผู้มาเจรจาโดยเสนอว่า " จะรับผิดชอบเลียงดูผู้เสียหาย หรือแต่งงานกับผู้เสียหาย 
       " ผู้เสียหายหรือพ่อแม่ ควรพิจารณา 
  ก . ถ้าผู้เสียหายยังเรียนหนังสืออยู่ ก็ไม่ควรที่จะตกลงด้วย เพราะจะทำให้เด็กเสียอนาคตทาง
       การศึกษา
  ข . ถ้าพวกผู้ต้องหาร้องต่อศาลขอให้ศาลมีคำสั่งให้แต่งงาน (สมรส) ท่านก็สามารถจะปฏิเสธได้ 
  ค . ถ้ามีข่มขู่ ก็ไม่ควรกลัว ควรมีพยานมารับรู้ และนำคำที่ถูกข่มขู่ไปแจ้งตำรวจพร้อมพยานด้วย
   ง . ครั้งที่มีการมาเจรจาที่บ้านผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรให้ตามเพื่อนบ้านมาอยู่เป็นพยาน
        ทุกครั้ง
 ๓ . ในกรณีตามข้อ ๒ เป็นชั้นเชิงทางกฎหมายและเล่ห์กลที่จะเอาเปรียบผู้เสียหาย  เพราะถ้ายอม
       ตามที่พวกนี้เสนอ เด็กหรือผู้เสียหายจะพบเคราะห์กรรมจะเกิดขึ้น คือ 
 - ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียน 
 - อาจถูกญาติฝ่าย ตั้งข้อรังเกียรติ ว่าเป็นตัวปัญหา
 - โดนถูกทำร้าย ภายหลังจากได้แต่งงานกันแล้ว
 - สุดท้ายก็ต้องเลิกกันไป..เพราะฝ่ายชายไม่ต้องติดคุกแล้ว
 ๔ . ควรเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามที่เห็นสมควร ซึงก็สามารถที่จะเรียกร้องเท่าไรก็ได้
      เพราะญาติผู้ต้องหากลัวว่าถ้าผู้เสียหายไม่ยอม ผู้ต้องหาก็ต้องติดคุกแน่ๆ จะไปวิ่งเต้นกับตำรวจ
      ก็อาจไม่ได้ผล
 ๕ . ในการเจรจา ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของเรื่อง เป็นผู้เจรจาให้ หรือพูดในทำนองว่า " ผู้เสียหาย
       ก็ยินยอมให้ผู้ต้องหาร่วมเพศด้วยอยู่แล้ว ฟ้องศาล ศาลก็ยกฟ้องอยู่แล้ว หรือถ้าติดคุกก็ติดไม่
       กี่ปีก็ออก " จงรู้เอาไว้ว่าตำรวจผู้นั้นมีการช่วยเหลือผู้ต้องหา "  ท่านต้องระวังให้มากเพราะจะ
       ทำให้สำนวนที่จะฟ้องผู้ต้องหาอ่อน เรียกง่ายๆ ว่า " วิ่งล้มคดี " .. และถือว่าตำรวจผู้นั้นปฏิบัติ
       หน้าที่โดย มิชอบอาจติดคุกด้วย 
 ๖ . ถ้าโดนข่มขู่และท่านกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเองหรือตัวผู้เสียหาย ก็ให้แจ้งความตำรวจให้
      ดำเนินคดีร้องขอต่อศาลเพื่อคุ้มครองวิธีเพื่อความปลอดภัย หรือห้ามบุคคลดังกล่าวเข้ามาในเขต
      ที่จำกัดเอาไว้


  " คำเตื่อน "   พ่อแม่หรือผู้ปกครองผู้เสียหาย   ไม่ควรเห็นแก่เงินที่จะได้จากการให้ผู้เสียหาย
แต่งงาน   ควรมองถึงอนาคตการศึกษาของผู้เสียหายมากกว่า .. ส่วนเงินค่าเสียหายนั้นถึงอย่างไร
พวกญาติผู้ต้องหาก็ต้องจ่าย ..หรือยอมจ่ายให้อยู่แล้วเพื่อยอมความทางคดี.. หรือฟ้องเรียกเอาได้
อยู่แล้ว  อย่าไปหลงเชื่อคำหวานๆ ที่มีเล่ห์กลซ่อนเร้นอยู่ ลูกหลานท่านจะเสียโอกาสและอนาคตที่ดีไป


  แต่ก็ยังมีผู้เสียหายบางคนไม่กล้าที่จะเอาเรื่อง และก็ถูกบังคับข่มขืนมาตลอด ยังมีอีกหลายคนที่
ตกอยู่ในมุมมืด  ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ทุกวันต้องทุกข์ทรมาร ต้องยอมให้พวกมันทำทุกอย่างที่มัน
ต้องการ บ้างครั้งถึงขนาดท้อง   ที่ไม่กล้าเอาเรื่องคงเพราะกลัว หรือเพราะกลัวพ่อแม่จะได้รับความ
อับอาย หรืออายเพื่อนๆ  หรือถูกข่มขู่เอาชีวิต


  ทางแก้ไม่ยาก  เล่าเรื่องให้ผู้อื่นหรือทนายความ ไปติดต่อพวกนี้และทำหลักฐานเอาไว้   ถ้าพวก
นี้ยังมารังควานอีก หรือข่มขู่อีกก็สารมาถที่จะเอาเรื่องได้เลย .. โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อพวกนี้โดนถูก
ขู่กลับไปบ้างก็มักจะกลัวและไม่กล้าที่จะจะยุ่งกับผู้เสียหายอีก เพราะกลัวจะติดคุก  แต่ถ้ามันไม่กลัว 
และกลับมารังควานอีกก็สมควรที่จะเอามันเข้าคุก .. และเรียกค่าเสียหายจากพ่อแม่ของมันด้วยหรือ 
เอาพ่อแม่แม่มันเข้าคุกด้วย


   ที่สำคัญที่สุด ถ้าท้องขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มาก เมื่อท้องขึ้นมาแล้วก็คง
ต้องเอาออกและการเอาออกก็ต้องเสียเงินมากตั้งแต่ ๓,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาท ( ยิ่งเดี๋ยวนี้ ๕,๐๐๐ บาท
ขึ้นไป ) เพราะการทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย .. แต่ก็มีการทำแท้งที่ถูกกฎหมายและเสียเงินน้อยด้วย
และยังมีการทำแท้งที่แบบลับๆ ไม่ต้องอายใคร ( อาจไม่ต้องเสียเงินเป็นพันๆ )


  ถูกข่มขู่    กลัวอิทธิพล  กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม   ทำอย่างไร    สิ่งนี้ย่อมเกิดกับทุกคนที่ถูก
ข่มขืน หรือถูกอนาจาร ... ข้อแนะนำที่ดีที่สุดก็คือควรบอกผู้ใหญ่ หรือขอความช่วยเหลือจาก ผู้รู้กฏ
หมาย , ทนาย , สภาทนาย , สำนักงานอัยการ , มูลนิธิคุ้มครองเด็กและสตรีต่างๆ 


   




เพิ่มคำอธิบายภาพ






ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย


ความหมายของกฎหมาย




          กฎหมายคืออะไร? เชื่อได้เลยว่าทุกคนหรือแทบจะทุกคนในสังคมคงจะรู้จักคำๆนี้เป็นอย่างดี แต่หากจะให้อธิบายความหมายของคำนี้ หลายๆคนคงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งจริงๆแล้วแม้แต่ในทางวิชาการก็มีการให้นิยามความหมายแตกต่างกันออกไปมากมาย เนื่องจากเป็นการยากที่จะนิยามความหมายออกมาให้ครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่พอจะสรุปได้ดังนี้


          กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม
           มนุษย์ถือได้ว่าเป็นสัตว์สังคมจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เนื่องจากความคิด อุปนิสัย สภาพแวดล้อม เพศ ฯลฯ ที่แตกต่างกันไป จึงจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย กฎหมายบางอย่างก็กำหนดขึ้นเป็นขั้นตอนหรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ นอกจากนี้การบัญญัติกฎหมายเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้คนในสังคมปฏิบัติตามในแนวทางเดียวกัน ก็จะสร้างความเป็นระเบียบให้เกิดขึ้นอีกด้วย เหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายอันสำคัญของสังคม ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้ว ก็จะมาจากคนในสังคมนั่นเอง


ลักษณะของกฎหมาย


เราสามารถแยกลักษณะของกฎหมายออกได้เป็น 5 ประการ คือ


          1.กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ ซึ่งจะแตกต่างกับการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตาม คำสั่งหรือข้อบังคับนั้นมีลักษณะให้เราต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือ เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ เช่นนี้เราก็จะไม่ถือเป็นกฎหมาย เช่น การรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ หรือช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ


          2.กฎหมายต้องมาจากรัฐาธิปัตย์หรือผู้ที่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ รัฐาธิปัตย์คือผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ ในระบอบเผด็จการหรือระบอบการปกครองที่อำนาจการปกครองประเทศอยู่ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด มีอำนาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด พระบรมราชโองการหรือคำสั่งของพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นกฎหมาย ส่วนในระบอบประชาธิปไตยของเรา ถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน กฎหมายจึงต้องออกโดยประชาชน คำถามมีอยู่ว่าประชาชนออกกฎหมายได้อย่างไร ก็ออกโดยที่ประชาชนเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ซึ่งก็คือสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)นั่นเอง ดังนั้นการเลือก ส.ส. ในการเลือกทั่วไปนั้นนอกจากจะเป็นการเลือกคนเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ยังเป็นการเลือกตัวแทนของประชาชนเพื่อทำการออกกฎหมายด้วย
          นอกจากดังกล่าวมาข้างต้น อาจมีบางกรณีที่กฎหมายให้อำนาจเฉพาะแก่บุคคลในการออกกฎหมายไว้ เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยฝ่ายบริหาร(คณะรัฐมนตรี) ฯลฯ


          3.กฎหมายต้องใช้บังคับได้โดยทั่วไป คือเมื่อมีการประกาศใช้แล้ว บุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเสมอภาค จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ หรือทำให้เสียประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น กรณีของฑูตต่างประเทศซึ่งเข้ามาประจำในประเทศไทยอาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีอากร หรือหากได้กระทำความผิดอาญา ก็อาจได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศไม่ต้องถูกดำเนินคดีในประเทศไทย โดยต้องให้ประเทศซึ่งส่งฑูตนั้นมาประจำการดำเนินคดีแทน
        
            4.กฎหมายต้องใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการประกาศใช้แล้วแม้กฎหมายนั้นจะไม่ได้ใช้มานาน ก็ถือว่ากฎหมายนั้นยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอด กฎหมายจะสิ้นผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกกฎหมายนั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเท่านั้น


            5.กฎหมายจะต้องมีสภาพบังคับ ถามว่าอะไรคือสภาพบังคับ นั่นก็คือการดำเนินการลงโทษหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบหรือหลาบจำ ไม่กล้ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอีก และรวมไปถึงการเยียวยาต่อความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายนั้นด้วย
         
  ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯนั้น สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งฯในคราวเดียวกันก็ได้ แต่กฎหมายบางอย่างก็อาจไม่มีสภาพบังคับก็ได้ เนื่องจากไม่ได้มุ่งหมายให้ผู้คนต้องปฏิบัติตาม แต่อาจบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองสิทธิให้แก่บุคคล หรือทำให้เสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสามารถทำนิติกรรมได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลที่มีอายุ 15 ปีแล้วสามารถทำพินัยกรรมได้ ฯลฯ หรือออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ซึ่งกฎหมายประเภทนี้จะไม่มีโทษทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด


ที่มาของกฎหมาย


            1.ศีลธรรม คือกฎเกณฑ์ของความประพฤติ คำๆนี้ฟังเข้าใจง่ายแต่อธิบายออกมาได้ยากมาก เพราะเป็นสิ่งที่แต่ละคนเข้าใจได้ในตัวเองและมีความหมายที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สภาพแวดล้อม ฯลฯ แต่อย่างไรก็ความหมายของศีลธรรมของแต่ละคนก็จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แม้อาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง  แต่โดยหลักแล้วก็จะหมายถึง ความรู้สึกผิดชอบหรือความดีงามต่างๆที่ทำให้คนเราสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยสงบสุข ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายจึงต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐาน เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคมให้มากที่สุดนั่นเอง


             2.จารีตประเพณี คือแบบแผนที่คนในสังคมยอมรับและถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน แต่ละสังคมก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่สภาพแวดล้อม ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ เช่นเดียวกับศีลธรรม การกระทำที่ฝ่าฝืนต่อจารีตประเพณี คนในสังคมนั้นๆก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่สมควรกระทำ จึงนำมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนในสังคมนั้นๆยอมรับ ตัวอย่างที่สำคัญก็คือกฎหมายในประเทศอังกฤษนั้น ผู้พิพากษาจะใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษา ซึ่งคำพิพากษานั้นถือเป็นกฎหมาย ส่วนประเทศอื่นๆก็มีการนำจารีตประเพณีมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายเช่นกัน เช่นกฎหมายของประเทศไทยในเรื่องของการหมั้น การแบ่งมรดก ฯลฯ
 
             3.ศาสนา คือหลักการดำเนินชีวิตหรือข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาบัญญัติขึ้นเพื่อสอนให้คนทุกคนเป็นคนดี เมื่อพูดถึงศาสนาเราก็อาจนึกไปถึงศีลธรรม เพราะสองคำนี้มักจะมาคู่กัน แต่คำว่าศีลธรรมจะมีความหมายกว้างกว่าคำว่าศาสนา เพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลักคำสอนของทุกศาสนามารวมไว้และความดีงามต่างๆไว้ในคำๆเดียวกัน เมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาอิสลาม นั่นหมายถึงศีลธรรม เมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาพุทธ นั่นหมายถึงเรากล่าวถึงศีลธรรมเช่นกัน กฎหมายของแต่ละประเทศก็จะบัญญัติขึ้นโดยอาศัยศาสนาเป็นรากฐานด้วย เช่นในประเทศไทยเราในทางอาญาก็จะนำศีล 5 มาใช้ในการบัญญัติกฎหมาย เช่นห้ามฆ่าผู้อื่น ห้ามลักทรัพย์  ห้ามประพฤติผิดในกาม ฯลฯ


            4.คำพิพากษาของศาล มีเฉพาะบางประเทศเท่านั้นที่ถือเอาคำพิพากษาของศาลมาจัดทำเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คือใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษาคดีและเพื่อไม่ให้มีกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกก็จะนำคำพิพากษานั้นมาจัดทำเป็นกฎหมายเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตาม หากมีคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกันเกิดขึ้นอีก ศาลก็จะตัดสินเหมือนกับคดีก่อนๆ แต่ในหลายๆประเทศคำพิพากษาเป็นเพียงแนวทางในการพิจารณาพิพากษาของศาลเท่านั้น ศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาต่างจากคดีก่อนๆได้ จึงไม่ถือคำพิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศไทยเราเป็นต้น


           5.หลักความยุติธรรม(Equity) หลักความยุติธรรมนี้จะต้องมาควบคู่กับกฎหมายเสมอ เพียงแต่ความยุติธรรมของแต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ดีผู้บัญญัติและผู้ใช้กฎหมายก็จะต้องคำนึงถึงหลักความยุติธรรมด้วยและความยุติธรรมนี้ควรจะอยู่ในระดับที่คนในสังคมส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะถ้าเป็นความยุติธรรมโดยคำนึงถึงคนส่วนน้อยมากกว่า ก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้ไม่เกิดความยุติธรรมแก่สังคมโดยแท้จริง ตัวอย่างที่สำคัญคือ ในอังกฤษนั้นแต่ก่อนการฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นจะฟ้องเรียกได้เฉพาะจำนวนเงินเท่านั้น จะฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไม่ได้ จึงทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย เนื่องจากในบางรายผู้เสียไม่ได้ต้องการเงินค่าเสียหาย แต่ต้องการให้คู่สัญญาปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำต่อกัน ดังนั้นจึงได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมาใช้โดยอนุญาตให้มีการชำระหนี้โดยการปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ตามความมุ่งหมายของผู้ที่เสียหายได้  ทำให้เกิดความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดียิ่งขึ้น


           6.ความคิดเห็นของนักปราชญ์ ก็คือผู้ทรงความรู้ในทางกฎหมายนั่นเอง อาจจะเป็นนักวิชาการ หรืออาจารย์สอนกฎหมายก็ตาม เนื่องจากนักปราชญ์เหล่านี้จะเป็นผู้ค้นคว้าหลักการและทฤษฎีต่างๆเพื่อสนับสนุนหรือโต้แย้งกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาลอยู่เสมอ ทำให้เกิดหลักการหรือทฤษฎีใหม่ๆที่เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายได้ เช่น แนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ในประเทศรัสเซีย ฯลฯ


ระบบกฎหมาย


ระบบกฎหมายหลักๆในโลกนี้มีอยู่ 4 ระบบใหญ่ๆด้วยกัน คือ


             1.ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์(Civil Law) หรือก็คือระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร จุดกำเนิดอยู่ที่อาณาจักรโรมัน ระบบกฎหมายนี้จะมีลักษณะเป็นการรวมรวมเอาจารีตประเภณีหรือกฎหมายต่างๆหรือบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ โดยบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดไว้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งเรียกว่าประมวลกฎหมาย ซึ่งแต่เดิมนั้นไม่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ชนชั้นที่ถูกปกครองในโรมันจึงมีการเรียกร้องให้ชนชั้นสูงทำการเขียนกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ชนชั้นที่ถูกปกครองได้รู้กฎหมายด้วย ซึ่งระบบกฎหมายนี้ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยก็ใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์ ตัวอย่างก็เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ


           2.ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์(Common Law) หรือก็คือระบบกฎหมายจารีตประเพณี จุดกำเนิดอยู่ที่อังกฤษ เนื่องจากแต่เดิมนั้นประเทศอังกฤษมีชนเผ่าอยู่มากมายหลายชนเผ่าด้วยกัน ต่อมาได้มีการจัดตั้งศาลหลวงหรือศาลพระมหากษัตริย์ขึ้น โดยคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความรู้จากส่วนกลางไปพิจารณาคดีในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งแต่ละชนเผ่าก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดปัญหาในการพิจารณาคดีมากมาย แต่ในภายหลังปัญหาก็ค่อยๆหมดไปเพราะเริ่มมีจารีตประเพณีที่มีลักษณะเป็นสามัญขึ้นโดยศาลหลวงได้ใช้จารีตประเพณีเหล่านี้ในการพิจารณาคดี ในระบบคอมมอน ลอว์แต่เดิมจะไม่มีการบัญญัติกฎหมายไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อศาลใช้จารีตประเพณีในการพิพากษาตัดสินคดีแล้ว ก็จะมีการบันทึกคำพิพากษานั้นเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีต่อๆไป หาข้อเท็จจริงในคดีต่อๆมาเหมือนกับคดีก่อน ศาลก็จะพิพากษาไปตามที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว ถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลก็คือกฎหมายนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้ในประเทศอังกฤษก็ใช้ทั้งระบบกฎหมายแบบซีวิล ลอว์และคอมมอน ลอว์ ควบคู่กันไป


           3.ระบบกฎหมายสังคมนิยม(Socialist Law) จุดกำเนิดของระบบกฎหมายน้อยู่ที่รัสเซีย แต่เดิมรัสเซียใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์ แต่ในภายหลังเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ครองอำนาจ ก็ได้มีการนำหลักการและแนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน มาใช้โดยเชื่อว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือในการขัดระเบียบและกลไกในสังคม เพื่อให้คนในสังคมมีความเท่าเทียมกัน ปราศจากการกดขี่ข่มเหง ปราศจากชนชั้นวรรณะ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดร่วมกัน กฎหมายมีอยู่เพื่อความเท่าเทียม เมื่อใดที่สังคมเกิดความเท่าเทียมกันแล้วกฎหมายก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ส่วนลักษณะของกฎหมายสังคมนิยมนั้นจะมีการผสมผสานระหว่างกฎหมายลายลักษณ์อักษรกับจารีตประเพณีเข้าด้วยกัน โดยมีการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนจารีตประเพณีนั้นเป็นตัวช่วยในการตีความและอุดช่องว่างของกฎหมายเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และที่สำคัญก็คือกฎหมายในระบบสังคมนิยมนั้นต้องแฝงหลักการหรือแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน ด้วยเสมอ


           4.ระบบกฎหมายศาสนาและประเภณีนิยม ลักษณะของกฎหมายในระบบนี้ โดยเนื้อหาของกฎหมายแล้วก็จะอาศัยศาสนาหรือประเภณีนิยมเป็นฐานในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา เช่น กฎหมายศาสนาอิสลามกำหนดหน้าที่ของชาวมุสลิมที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า  ในปัจจุบันประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม กฎหมายอิสลามมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก แต่ส่วนกฎหมายในเรื่องอื่นๆก็จะใช้แนวทางของกฎหมายของทางโลกตะวันตก หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในเรื่องครอบครัวและมรดกก็จะต้องนำกฎหมายศาสนาอิสลามมาใช้บังคับ ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นเฉพาะ 4 จังหวัดดังกล่าวเท่านั้น  ส่วนในเรื่องอื่นๆทุกจังหวัดก็จะใช้กฎหมายฉบับเดียวกันรวมไปถึง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น


            ส่วนประเภณีนิยมนั้น คือ สิ่งที่คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่นในประเทศจีนก็มีการนำประเภณีนิยมของนักปราชญ์อย่าง ขงจื้อ มาเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมาย หรือประเภณีโบราณของลัทธิชินโตก็ใช้เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ฯลฯ




                 วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทย  เดิมกฎหมายของประเทศไทยนั้นมีที่มาจากจารีตประเภณี ศาสนา รวมไปถึงพระราชโองการของพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชศาสตร์” ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยหลักใน “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” จนกระทั่งการเสียเมืองครั้งที่ 2 ให้แก่ประเทศพม่า เอกสารสำคัญทางกฎหมายได้มีการถูกทำลายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ต่อมาในสมัยของรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการรวบรวมกฎหมายขึ้นใหม่แต่ก็เหลือเพียงหนึ่งในสิบของกฎหมายที่มีอยู่เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้กฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างยุติธรรม รัชกาลที่ 1 จึงทรงชำระสะสางกฎหมายเสียใหม่กลายเป็น “กฎหมายตราสามดวง” ถือเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญของไทยเรา นักวิชาการทั้งหลายถือว่าแม้จริงแล้วกฎหมายตราสามดวงนี้ก็คือกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
              คดีสำคัญที่ก่อให้เกิดกฎหมายตราสามดวงก็คือ “คดีอำแดงป้อม” (อำแดง เป็นคำนำหน้าชื่อของผู้หญิงในสมัยก่อน) คดีนี้มีข้อเท็จจริงคือ นายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ เนื่องจาก อำแดงป้อม ภรรยาของนายบุญศรีเป็นชู้กับ นายราชาอรรถ แต่อำแดงป้อมกลับมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่พระเกษมกลับพิจารณาเข้าข้างอำแดงป้อมแล้วคัดข้อความส่งให้ลูกขุน ณ ศาลหลวง มีคำตัดสินให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีขาดจากการเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย เมื่อรัชการที่ 1 ทรงทราบเรื่องจึงตรัสว่า หญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษากันแแล้วให้หย่าตามคำฟ้องนั้นไม่เป็นการยุติธรรม จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งให้เจ้าพระยาคลังตรวจสอบกฎหมายดังกล่าว ปรากฎได้ความว่า ชายไม่ผิด หญิงมาขอหย่า ก็สามารถหย่าได้(ตามที่บันทึกใช้คำว่า ชายหาผิดมิได้หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชายหย่าได้) จึงทรงเห็นว่าแม้แต่พระไตรปิฎกผิดเพี้ยนไป ก็ยังอาราธนาพระราชาคณะทั้งปวงให้ทำสังคายนาชำระพระไตรปิฎกให้ถูกต้องได้ ดังนั้นเมื่อกฎหมายผิดเพี้ยนไปก็ควรต้องชำระสะสางให้ถูกต้อง พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรกกระหม่อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ประกอบด้วยอาลักษณ์ 4 ลูกขุน 3 ราชบัณฑิต 4 จัดการชำระบทกฎหมายให้ถูกต้อง โดยอาศัย “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์”(เชื่อกันว่าเป็นคัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือผู้มีอำนาจเหนือคนธรรมดาแต่งขึ้น เดิมนั้นเป็นของชาวฮินดู เป็นหนังสือในศาสนาพราห์ม) เป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา เกิดเป็นกฎหมายตราสามดวงขึ้น
              ในเวลาต่อมาเกิดการล่าอาณานิคมจากประเทศซีกโลกตะวันตก เช่น ประเทศฝรั่งเศสและประเทศอังกฤษ ทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นก็คือการเสียเอกราชทางศาล เนื่องจากต่างประเทศเห็นว่าประเทศไทยเรากฎหมายป่าเถื่อน ไม่เป็นธรรม เมื่อมีปัญหาหรือคดีเกิดขึ้นก็จะไม่ยอมขึ้นศาลไทย และบีบบังคับให้รัฐบาลของไทยทำสนธิสัญญาซึ่งเรียกว่า “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ได้มีการจัดตั้งศาลกงศุล และศาลต่างประเทศขึ้นเพื่อใช้ในการพิจารณาคดีสำหรับคนชาตินั้นๆโดยเฉพาะ ไม่ใช้กฎหมายของไทยและไม่ขึ้นศาลไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริที่จะนำเอาเอกราชทางศาลกลับคืนมา โดยการแก้ไขกฎหมายให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ จึงได้มีส่งข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์ไปศึกษากฎหมายที่ต่างประเทศเพื่อนำความรู้มาพัฒนากฎหมาย รวมถึงจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการตรวจแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายขึ้นใหม่ โดยตั้งตณะกรรมการซึ่งมีพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พระบิดาแห่งกฎหมายไทย) เป็นประธาน โดยร่างประมวลกฎหมายอาญาเสร็จก่อน(ในสมัยนั้นคือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127) อีกทั้งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างกฎหมายอื่นๆด้วย ต่อมาในสมัยรัชการที่ 6 ก็ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และปรกาศใช้ในปี พ.ศ.2468 แรกเริ่มเดิมทีมีเพียง 2 บรรพ คือบรรพ 1 ว่าด้วยบทเบ็ดเสร็จทั่วไป และบรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ หลังจากนั้นก็มีการร่างบรรพอื่นๆขึ้นจนครบ 6 บรรพในภายหลัง ในการปฏิรูประบบกฎหมายจากระบบเดิมที่ล้าสมัยมาเป็นระบบใหม่นั้น ไทยได้รับเอาระบบซีวิล ลอว์มาใช้ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ฝรั่งเศสและเยอรมันใช้กัน โดยระบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรโรมัน เริ่มแรกเดิมทีนั้นคณะกรรมการร่างกฎหมายประสงค์ที่จะนำเอาระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์มาใช้บังคับ แต่เนื่องจากระบบกฎหมายนี้เป็นระบบกฎหมายที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เพราะระบบกฎหมายนี้เป็นระบบกฎหมายที่พัฒนามาเป็นเวลาช้านานจากจารีตประเพณีและระบบสังคมโดยเฉพาะ ตัวบทกฎหมายก็ไม่มีการรวบรวมเอาไว้เป็นหมวดหมู่ทำให้ยากแก่การศึกษา ซึ่งแตกต่างกับระบบซีวิล ลอว์ ที่มีการรวบรวมกฎหมายไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ ทำให้ง่ายแก่การศึกษาและนำมาใช้เป็นแบบอย่าง อีกทั้งประเทศส่วนใหญ่นอกจากฝรั่งเศสและเยอรมันแล้ว ต่างก็ใช้ระบบกฎหมายนี้ทั้งสิ้ง การที่ประเทศไทยใช้ระบบเดียวกับนานาประเทศก็จะทำให้กฎหมายของไทยมีความเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ไทยอาจได้รับเอกราชทางศาลคืนได้ง่ายขึ้น
                 ดังนั้นประเทศไทยจึงนำเอาระบบซิวิล ลอว์มาใช้ โดยนำกฎหมายของประเทศอื่นๆมาผสานเข้ากันกับกฎหมายไทยดั้งเดิม และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ จนในที่สุดก็ได้รับเอกราชทางศาลคืนมา และกฎหมายไทยก็ยังมีการพัฒนาขึ้นมาอีกเรื่อยๆเพื่อสามารถใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ จนถึงปัจจุบัน






ลำดับชั้นของกฎหมายในประเทศไทย(ศักดิ์กฎหมาย)


            ลำดับชั้นของกฎหมายมีไว้เพื่อบ่งบอกถึงระดับสูงต่ำและความสำคัญของกฎหมายแต่ละประเภทรวมไปถึงภาพรวมของกฎหมายที่ใช้กัน กฎหมายที่มีลำดับชั้นต่ำกว่าจะมีผลยกเลิกหรือขัดต่อกฎหมายที่มีลำดับชั้นสูงกว่าไม่ได้ ซึ่งเราจัดลำดับได้ดังนี้


            1.กฎหมายแม่บทที่มีศักดิ์สูงที่สุด ได้แก่ รัฐธรรมนูญ
            รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ เป็นกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์การปกครองและกำหนดโครงสร้างในการจัดตั้งองค์กรบริหารของรัฐ กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชนรวมไปถึงให้ความคุ้มครองสิทธิและหน้าที่ดังกล่าว กฎหมายอื่นๆที่ออกมาจะต้องออกให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายใดที่ขัดกับรัฐธรรมนูญจะก็จะไม่มีผลใช้บังคับได้ เราอาจเปรียบเทียบอย่างง่ายๆโดยนึกไปถึงผู้ว่าจ้างคนหนึ่ง จ้างผู้รับจ้างให้ก่อสร้างบ้าน โดยให้หัวข้อมาว่าต้องการบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรงมั่นคง รูปแบบบ้านเป็นทรงไทย ผู้รับจ้างก็ต้องทำการออกแบบและก่อสร้างให้โครงสร้างบ้านแข็งแรงและออกเป็นแบบทรงไทย ถ้าบ้านออกมาไม่ตรงตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ ก็อาจถือได้ว่าผู้รับจ้างผิดสัญญาได้ หัวข้อที่ผู้ว่าจ้างให้มาอาจเปรียบได้กับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเพียงแต่กำหนดกฎเกณฑ์หรือรูปแบบเอาไว้เป็นแนวทางหรือเป้าหมาย ส่วนการออกแบบและการก่อสร้างอาจเปรียบได้กับกฎหมายอื่นๆที่ต้องออกมาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ถ้าออกแบบมาหรือสร้างไม่ตรงกับความต้องการก็เปรียบเทียบได้กับการออกกฎหมายอื่นๆมาโดยไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ก็จะมีผลเป็นการผิดสัญญาหรืออาจเปรียบเทียบในทางกฎหมายได้ว่ากฎหมายนั้นๆใช้ไม่ได้


             2.กฎหมายที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจแก่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารเป็นผู้ออก ได้แก่ ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด กฎหมายเหล่านี้ถือว่ามีศักดิ์เป็นลำดับที่สองรองจากรัฐธรรมนูญ
           -ประมวลกฎหมาย คือเป็นการรวมรวบเอาหลักกฎหมายในเรื่องใหญ่ๆซึ่งเป็นเรื่องทั่วไปมาจัดเป็นหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและเพาณิชย์ ฯลฯ ประมวลกฎหมายต่างๆ ถือเป็นกฎหมายที่เป็นหลักทั่วๆไป ที่กล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคลแต่ละคน บุคคลในสังคมต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรและห้ามประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรบ้าง และรวมไปถึงการให้ความคุ้มครองต่อสิทธิต่างๆของบุคคลแต่ละคนด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆที่รัฐธรรมนูญวางไว้
          -พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คือเป็นกฎหมายที่ออกมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย ก็จะเป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับการล้มละลาย หรือพระราชบัญญัติสัญชาติ ก็จะเกี่ยวข้องเฉพาะกับเรื่องสัญชาติของบุคคล ฯลฯ ซึ่งพระราชบัญญัตินี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารหรือก็คือรัฐบาลค่อนข้างมาก เพราะฝ่ายบริหารจะเป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารประเทศ และเสนอกฎหมายเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนั้นๆให้สภานิติบัญญัติทำการออกนั่นเองและกฎหมายที่ออกมานั้นแม้จะมีการเปลี่ยนฝ่ายบริหารหรือฝ่ายรัฐบาลแล้ว ก็จะมีผลใช้บังคับอยู่ จนกว่ากฎหมายนั้นจะถูกยกเลิกหรือมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
          -พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารหรือก็คือรัฐบาล เป็นกฎหมายที่ออกใช้ไปพลางก่อนในกรณีที่มีจำเป็นเร่งด่วน หลังจากมีการใช้ไปพลางก่อนแล้ว ในภายหลังพระราชกำหนดนั้นก็อาจกลายเป็นพระราชบัญญัติซึ่งจะมีผลบังคับเป็นการถาวรได้ ถ้าสภานิติบัญญัติให้การอนุมัติ แต่ถ้าสภาไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้นก็ตกไป แต่จะไม่ทระทบกระเทือนถึงกิจการที่ได้กระทำไปในระหว่างใช้พระราชกำหนดนั้น ซึ่งพระราชกำหนดจะออกได้เฉพาะกรณีต่อไปนี้เท่านั้น คือ กรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยสาธารณะ หรือเพื่อรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือเพื่อจะป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา


          3.กฎหมายที่ฝ่ายบริหารเป็นผู้ออก ได้แก่ พะราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง


          (ก).พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งจะออกได้เฉพาะในกรณีต่อไปนี้คือ
          -รัฐธรรมนูญกำหนดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาในกิจการอันสำคัญที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ
          -โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายแม่บทซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติ หรือ พระราชกำหนด คือจะต้องมีพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดให้อำนาจในการออกไว้ เช่น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากร พ.ศ. 2528 กำหนดว่าหากจะเปิดศาลภาษีอากรจังหวัดเมื่อใด ต้องประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา ฯลฯ ด้วยการที่พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติและพระราชกำหนด ดังนั้นจะออกมาขัดกับพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทนั้นไม่ได้
          -กรณีที่จำเป็นอื่นๆในเรื่องใดก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย


          (ข).กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเป็นผู้ออก โดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายแม่บทซึ่งก็คือพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายนั้นๆ พระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดจะกำหนดกฎเกณฑ์กว้างๆเอาไว้ ส่วนกฎกระทรวงก็จะมากำหนดรายละเอียดอีกชั้นหนึ่ง เช่น ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้กำหนดว่า ในกรณีที่ใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลใดเพื่อขายทอดตลาด ผู้ที่มีอำนาจสั่งให้ยึด อายัดหรือขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง เราก็ต้องไปศึกษาในกฎกระทรวงอีกชั้นหนึ่งว่าผู้ที่มีอำนาจสั่งนั้นคือใครบ้าง ฯลฯ


          4.กฎหมายที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ออก ได้แก่ เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติจังหวัด ข้อบังคับสุขาภิบาล ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
          เป็นกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับโดยเฉพาะในแต่ละองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เป็นไปตามหน้าที่ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือในกรณีที่กฎหมายให้อำนาจไว้ก็ทำการออกได้เช่นกัน เช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เป็นกฎหมายที่กรุงเทพมหานครตราขึ้นเพื่อใช้บังคับในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น  หรือเทศบัญญัติ ก็เป็นกฎหมายที่เทศบาลบัญญัติขึ้นใช้บังคับเฉพาะในเขตเทศบาลของตน


ประเภทของกฎหมาย


 การแบ่งแยกประเภทกฎหมายที่นิยมใช้กันมีอยู่  2 ประเภท คือ


          1.การแบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลักษณะแห่งการใช้ เป็นการแบ่งแยกโดยพิจารณาถึงลักษณะการใช้กฎหมายเป็นหลัก ได้แก่


         -กฎหมายสารบัญญัติ คือกฎหมายที่บัญญัติถึงเนื้อหาหรือเรื่องทั่วๆไป เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมความประพฤติรวมไปถึงกำหนดสิทธิและหน้าที่ต่างๆของพลเมืองไว้ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา
          -กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือกฎหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการหรือวิธีการที่จะบังคับหรือดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัตินั่นเอง ได้แก่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯลฯ ตัวอย่างเช่นในประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าผู้ใดฆ่าผู้อื่นผู้นั้นมีความผิด แต่ไม่ได้กำหนดว่ามีจะนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้อย่างไร ไม่มีขั้นตอนการดำเนินการกำหนดไว้ เราก็ต้องอาศัยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในการจับตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เราอาจเปรียบเทียบเป็นตัวอย่างง่ายๆได้ว่า หากเราเปรียบเทียบว่ากฎหมายสารบัญญัติเปรียบได้กับเครื่องกรองน้ำที่ใช้ในการกรองน้ำให้สะอาด  กฎหมายวิธีสบัญญัติก็จะหมายถึงวิธีการใช้เครื่องกรองน้ำนั้นหรือกระบวนการการทำงานของเครื่องกรองน้ำ ซึ่งเป็นที่มาของน้ำสะอาดให้เราใช้ดื่มกินนั่นเอง ถ้าเราไม่รู้วิธีใช้หรือไม่มีกระบวนการการกรองน้ำติดตั้งอยู่ในเครื่อง เราก็จะทำการกรองน้ำให้สะอาดไม่ได้  เช่นเดียวกันนี้ถ้าไม่มีกฎหมายวิธีสบัญญัติ การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัติก็จะทำได้ยาก เพราะไม่มีแบบแผนและวิธีการแน่นอน ขาดความเป็นระเบียบและไร้ประสิทธิภาพ


        2.แบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลักษณะของความสัมพันธ์ของคู่กรณี ได้แก่


         -กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเอง ซึ่งกำหนดถึงสิทธิและหน้าที่ของแต่ละเอกชน รวมไปถึงสิทธิและหน้าที่ของเอกชนที่มีต่อเอกชนด้วยกันด้วย กฎหมายเอกชนก็ได้แก่กฎหมายแพ่ง  และกฎหมายพาณิชย์  กฎหมายแพ่งจะกำหนดถึงสิทธิและหน้าที่รวมไปถึงความสัมพันธ์ของบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย ส่วนกฎหมายพาณิชย์ก็จะกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลที่เข้ามามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่อกัน เช่น กำหนดถึงสิทธิแบะหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาซื้อขาย คู่สัญญากู้ยืมเงิน ฯลฯ
          -กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน หรือความสัมพันธ์ระหว่างรํฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าที่ของรัฐกับประชาชน เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
         -กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศต่างๆในโลกต้องมีการติดต่อมีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ทั้งในการค้า เศรษฐกิจ และการประสานงานช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศอาจมาในรูปของสนธิสัญญา จารีตประเพณีหรือความตกลงกันระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศอาจไม่มีสภาพบังคับที่ชัดเจน แต่ก็ถือเป็นกฎหมายได้ เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐ  เช่นกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา ฯลฯ




ข้อคิดบางประการเกี่ยวกับกฎหมาย


          กฎหมายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งเพื่อทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบและสงบสุข ซึ่งด้วยข้อจำกัดหลายๆประการทำให้กฎหมายไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ในทุกๆเรื่อง เป็นผลทำให้เราคิดว่ากฎหมายไม่ดีบ้าง กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง ไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายบ้าง และมีการแก้ไขกันอยู่เรื่อยไป
          แต่เรากำลังมองข้ามจุดสำคัญไปอย่างหนึ่งก็คือ กฎหมายก็เป็นเพียงข้อความหรือตัวหนังสือธรรมดาๆถ้าไม่มีผู้นำกฎหมายนั้นมาใช้ กฎหมายอาจกลายเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีเยี่ยมถ้าเราใช้มันโดยถูกต้อง แต่กฎหมายก็อาจเป็นอาวุธทำร้ายผู้อื่นได้เช่นกันถ้าใช้มันผิดวิธี ดังนั้นจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่ากฎหมายดีหรือไม่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ใช้กฎหมายก็ต้องใช้กฎหมายในทางที่ถูกต้องเหมาะสมด้วย จะขาดปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ จริงๆแล้วกฎหมายนั้นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าคนในสังคมอยู่กันอย่างเป็นระเบียบและสงบสุข แต่สังคมแบบนั้นเป็นเพียงสังคมที่อยู่ในอุดมคติเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วตรงกันข้ามกันอย่างมาก ดังนั้นกฎหมายจึงยังมีความจำเป็นตราบเท่าที่ยังมีสังคมอยู่


          สิ่งที่สังคมเราต้องช่วยกันดำเนินการในตอนนี้เป็นอันดับแรก ไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง เพราะปัญหาจะเกิดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆตามสภาพสังคมและกาลเวลา แต่เราต้องพัฒนาตัวบุคคลในสังคม พัฒนาตัวผู้ใช้กฎหมาย ให้มีความรู้และมีศีลธรรมควบคู่กันไป กฎหมายนั้นออกโดยคนในสังคมและผู้ใช้ก็คือคนในสังคม ดังนั้นถ้าคนในสังคมมีคุณภาพแล้ว กฎหมายและการใช้บังคับก็จะดีตามไปด้วยนั่นเอง และนี่คือการแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นที่ต้นเหตุโดยแท้จริง


ความรู้เพิ่มเติมที่น่าสนใจ


          1.กฎหมายจะใช้บังคับได้ ต่อเมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งเมื่อมีการประกาศแล้วจะถือว่าประชาชนทุกคนทราบแล้วว่ากฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ เนื่องจากราชกิจจานุเบกษาเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ทุกสัปดาห์เพื่อประกาศกฎหมาย คำสั่ง ระเบียบข้อบังคับ และข้อเท็จจริงที่สำคัญให้แก่ประชาชนได้รับทราบ  ประชาชนจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้


          2.การตีความกฎหมาย คือการค้นหาความหมายของถ้อยคำในกฎหมายที่ไม่ชัดเจนหรือกำกวม โดยอาจวิเคราะห์ตามตัวอักษรอาศัยพจนานุกรมในการค้นหาความหมาย วิเคราะห์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ฯลฯ ในกรณีที่เป็นการตีความกฎหมายที่เป็นโทษ เช่น กฎหมายอาญา ต้องตีความโดยเคร่งครัดตามตัวอักษร คือกฎหมายบัญญัติไว้ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะไปตีความเป็นอย่างอื่นเพื่อเอาผิดแก่บุคคลใดๆไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกฎหมายที่มีลักษณะเป็นกฎหมายให้สิทธิ ก็ควรที่จะตีความในทางที่เป็นประโยชน์หรือเป็นคุณให้มากที่สุด เช่น มาตรา 1627 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วให้ถือเป็นผู้สืบสันดาน มีสิทธิรับมรดกได้ การรับรองบุตรนั้นโดยทั่วไปจะหมายถึงการจดทะเบียนรับรองบุตรให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา ซึ่งถือเป็นการรับรองโดยนิตินัย แต่มาตรานี้มีลักษณะเป็นกฎหมายให้สิทธิแก่บุตรนอกกฎหมาย จึงต้องตีความให้เป็นคุณ ดังนั้นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งบิดายอมรับว่าเป็นบุตร แม้จะไม่ได้มีการจดทะเบียนรับรองบุตรก็ตาม(ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา) ก็ถือว่ามีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เช่นกัน เป็นต้น
          3.สภานิติบัญญัติหลายๆคนอาจจะไม่คุ้นหูกันเท่าใดนัก แต่ถ้าเรียกว่ารัฐสภาคงจะเป็นที่รู้จักดีกว่า ซึ่งสภานิติบัญญัติประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา หน้าที่หลักๆก็คือทำการออกกฎหมายอีกทั้งยังมีหน้าที่อื่นๆที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอีกด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) มีวาระ 4 ปี ส่วนสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) มีวาระ 6 ปีและจะเป็นติดต่อกันสองสมัยไม่ได้ ซึ่งจะแตกต่างจาก ส.ส.


          4.ในการเลือกตั้งใหญ่หรือที่เรียกว่าการเลือกตั้งทั่วไปนั้น พรรคที่ได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุดก็จะมีสิทธิได้เป็นรัฐบาล ซึ่งโดยทั่วไปหัวหน้าพรรคดังกล่าวนั้นก็จะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีก็จะเลือกบุคคลที่มีความสามารถเข้ามาเป็นรัฐมนตรีโดยจะเลือกจาก ส.ส.หรือบุคลใดก็ได้ เราเรียกนายกและรัฐมนตรีต่างๆรวมกันว่าคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเหล่านี้ก็จะพ้นจากการเป็น ส.ส. หรือก็คือพ้นจากการเป็นฝ่ายนิติบัญญํติไปเป็นฝ่ายบริหารนั่นเอง


          5.การเลือกตั้งที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งก็คือ การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว. นั่นเอง เนื่องจากวุฒิสภาก็ถือเป็นสภานิติบัญญัติเช่นกัน มีหน้าที่ตรวจสอบและให้ความเห็นชอบกฎหมายที่จะประกาศใช้ ดโดย ส.ว. จะต้องมีความเป็นกลาง ไม่เข้าฝักใฝ่ฝ่ายใด ดังนั้นผู้ที่จะสมัครเป็นเข้ารับเลือกตั้งเป็น ส.ว. จะต้องไม่สังกัดพรรคการเมืองใด  เดิมที ส.ว. จะมาจากการแต่งตั้ง แต่เนื่องจากการแต่งตั้งนั้นทำให้เกิดปัญหาเล่นพรรคเล่นพวกกันมาก จึงเปลี่ยนมาเป็นแบบเลือกตั้งในปัจจุบัน วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎรจะแยกจากกันต่างหาก ดังนั้นแม้จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภาก็จะไม่พ้นจากสถานภาพไปด้วย


          6.ในส่วนของกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัตินั้น เช่น พระราชบัญญัตินั้น ถ้าพรรคที่ชนะการเลือกตั้งแล้วเข้ามาเป็นรัฐบาลมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมากเกินไปในสภา การออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนนโยบายของฝ่ายบริหาร ก็ทำได้ง่าย ซึ่งถ้ารัฐบาลนั้นมีความหวังดีมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศชาติจริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องดีไป แต่ถ้าหวังแต่เพียงเข้ามากอบโกยประโยชน์เพียงอย่างเดียว ก็อาจเสนอกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่พรรคพวกของตน แล้วอาศัยเสียงที่มีมากในสภาผู้แทนราษฎรดันให้กฎหมายนั้นผ่านออกใช้บังคับ ก็อาจจะมีผลเสียต่อประเทศอย่างร้ายแรงได้ นอกจากเรื่องการผลักดันกฎหมายแล้วก็อาจมีเรื่องอื่นๆอีก เช่น การเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ต้องมี ส.ส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ถ้า ส.ส. เป็นคนของรัฐบาลมากเกินไป การเข้าชื่อเสนอญัตติก็ทำได้ยาก  เช่นเดียวกับเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คือ พรรคฝ่ายค้านมีจำนวน ส.ส. ไม่ถึง 2 ใน 5 เนื่องจากส่วนมากจะเป็น ส.ส. ของฝ่ายรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถอิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “เผด็จการรัฐสภา”


          7.ตามทฤษฎีแล้วฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องมีการคานอำนาจกัน คือฝ่ายบริหารจะต้องถูกตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติได้ เช่น การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจต่างๆ ส่วนฝ่ายบริหารก็มีอำนาจยุบสภาได้ ซึ่งจะทำให้สถานภาพของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ส.ส. กับรัฐบาล อาจเอื้อประโยชน์ให้แก่กันได้(ลองศึกษาจากความรู้เพิ่มเติมในข้อ 6) ดังนั้นเราจึงต้องเลือกคนดีมีความรู้เข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อจะได้มีความเป็นกลางและปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่ แม้จะเป็นไปได้ยากก็ตาม